หากทำธุรกิจแล้วไม่ได้ทำความเข้าใจไว้อาจจะเกิดความเสียหายต่อระบบกระแสเงินหมุนเวียนของธุรกิจได้ง่ายๆ ผมจะย่อบทสรุปมาให้ดังนี้ครับ กรณีแรก: กรณีไม่ได้ยื่นแบบ ภ.พ.30 หรือพูดง่ายๆว่า ค่อยจ่ายหรือรอก่อน สูตรคำนวน: ภาษีขาย-ภาษีซื้อ = ยอดเงินก่อนเบี้ยปรับ x 1.5 % ต่อเดือนของยอดเงินก่อนเบี้ยปรับ + 2 เท่ายอดเงินก่อนเบี้ยปรับ+เบี้ยปรับไม่ยื่นแบบเดือนละ 500 บาท 😳 หากจะเปรียบให้เห็นเป็นตัวเลขสมมติง่ายๆดังนี้ ภาษีบิลขายทั้งหมดในเดือน 7,500 บาท ภาษีบิลซื้อทั้งหมดในเดือน 1,250 บาท ภาษีขาย-ภาษีซื้อ = 7,500 – 1,250 เท่ากับ 6,250 บาทคือ ยอดเงินภาษี หากท่านปล่อยเวลาไปจ่ายเดือนถัดไปสมมติว่าหนึ่งเดือน 🙄 ยอดที่ปรากฎตอนที่นำส่งสรรพากรจะถูกคำนวณตามสูตรข้างบนนี้เลย ยอดเงินภาษี x 1.5 % ต่อเดือน(เรียกว่าเงินเพิ่ม)+ 2 เท่ายอดเงินภาษี (เรียกว่าเบี้ยปรับ)+เบี้ยปรับไม่ยื่นแบบเดือนละ 500 บาท 😈 นั่นก้อคือ = 6250×1.5%+2×6250+500 ผลที่ออกมาคือ = 93.75 + 12500 + 500 เท่ากับต้องจ่ายทั้งหมดคือ 13,093.75 บาท กรณีที่สอง: กรณียื่นแบบ ภ.พ. 30 เมื่อเลยกำหนดเวลา ซึ่งผู้มีหน้าที่เสียภาษีต้องรับผิดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตาม กรณีแรก. ไปแล้ว ต่อมาตกหล่นต้องยื่นแบบ ภ.พ. 30 เพิ่มเติม หรือสรรพากรประเมินตรวจสอบพบความผิด แบ่งย่อยเป็นกรณีที่ 1 คำนวนภาษีซื้อเกินหรือภาษีขายขาดไป ผลรวมทั้งสองรายการเรียกเป็น ตัวเลขคลาดเคลื่อน สูตรคำนวน:เงินเพิ่มภาษีที่ต้องนำส่ง ยอดที่ 1 คือ = 1.5 % ต่อเดือนของยอดตัวเลขคลาดเคลื่อน เบี้ยปรับ 2 เท่าของตัวเลขคลาดเคลื่อน เบี้ยปรับ 1 เท่าxยอดภาษีซื้อเกิน เบี้ยปรับ 1 เท่าxยอดภาษีซื้อขาด ยอดที่